สหรัฐฯ วุ่นไม่เลิก! Shutdown ลากยาวอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ - เดโมแครต-รีพับลิกันยังงัดข้อไม่เลิก
- วิกฤต Shutdown ยาวนานเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
- จุดยืนแข็งกร้าวของทั้งสองพรรคการเมือง
- ผลกระทบที่กำลังขยายวงกว้าง
- ความเป็นไปได้ในการแก้ไขวิกฤต
วิกฤต Government Shutdown ในสหรัฐฯ ยังคงยืดเยื้อเข้าเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 สร้างสถิติเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งสองพรรคการเมืองยังคงยืนกรานในจุดยืนของตัวเอง ไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมในเร็ววันนี้
วิกฤต Shutdown ยาวนานเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
การปิดรัฐบาลสหรัฐฯ ในครั้งนี้ได้กลายเป็นการปิดยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ โดยยาวนานถึง 22 วันแล้ว แซงหน้าหน้าวิกฤต Shutdown ในปี 2018-2019 ที่ยาวนาน 35 วัน เหลือเพียงแค่การปิดรัฐบาลในปี 1995-1996 ที่ยาวนาน 21 วันเท่านั้นที่ยังครองอันดับ 1
จากข้อมูลของ Congressional Research Service ระบุว่าว่าวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเจ้าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกว่า 800,000 คน ที่ต้องถูกพักงานหรือทำงานโดยไม่ได้รับค่าค่าจ้าง ขณะที่บริการสาธารณะหลายอย่างต้องหยุดชะงักหรือลดระดับการให้บริการลง
จุดยืนแข็งกร้าวของทั้งสองพรรคการเมือง
ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันยังคงยืนหยัดในจุดยืนของตัวเองอย่างแข็งกร้าว โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต เรียกร้องให้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณโดยไม่มีเงื่อนไข ขณะที่ผู้นำเสียงข้างมากในสภาภาผู้แทนราราษฎรจากพรรครีพับลิกันยังคงยืนยันที่จะผูกมัดงบประมาณกับการเพิ่มเงินสนับสนุนการสร้างกำแพงชายแดน
"เราจะไม่ยอมให้งบประมาณของชาติถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง" ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวในแถลงการณ์ล่าสุด "ประชาชนชาวอเมริกันสมควรได้รับบริการจากรัฐบาลที่พวกเขาจ่ายภาษีให้"
ผลกระทบที่กำลังขยายวงกว้าง
วิกฤตครั้งนี้เริ่มส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ตามข้อมูลจาก S&P Global Ratings
บริการสำคัญหลายอย่างของรัฐบาลกลางถูกระงับหรือลดระดับลง รวมถึงการตรวจคนเข้าเมือง การให้บริการอุทยานแห่งชาติ การประมวลผลคำร้องขอสินเชื่อบ้านจาก FHA และการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารโดย FDA
นักวิเคราะห์จาก BTCC มองว่าว่าวิกฤตครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะหากยืดเยื้อออกไปอีก "ในประสบการณ์ของเรา การปิดรัฐบาลที่ยาวนานมักจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงิน" นักวิเคราะห์กล่าว
ความเป็นไปได้ในการแก้ไขวิกฤต
แม้จะมีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายในการเจรจา แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีแนวโน้มที่ดีในเร็วๆ นี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าว่าการแก้ไขปัญหาอาจต้องรอจนกว่ากว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่สภาคองเกรสอาจผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อเปิดรัฐบาลก่อน แล้วค่อยมาเจรจาเรื่องเงื่อนไขต่างๆ ในภายหลัง ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยใช้แก้ไขวิกฤต Shutdown ในอดีต
วิกฤต Government Shutdown ครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจมีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกในภาพรวม