BTCC / BTCC Square / siamblockchainTH /
Ledger Nano จากคดี ’นานา’ คือ ’ตู้เซฟคริปโต’ จริงหรือ? เปิดเบื้องหลังการ ’ซุก’ สินทรัพย์ดิจิทัล

Ledger Nano จากคดี ’นานา’ คือ ’ตู้เซฟคริปโต’ จริงหรือ? เปิดเบื้องหลังการ ’ซุก’ สินทรัพย์ดิจิทัล

Published:
2025-12-04 04:43:02

อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์วอลเล็ตกลายเป็นจุดสนใจในคดีความอีกครั้ง—คราวนี้จากกรณี 'นานา' ที่ถูกยึด Ledger Nano หลายเครื่อง คำถามใหญ่: นี่คือ 'ตู้เซฟดิจิทัล' ที่ช่วยซ่อนเงินได้จริงหรือ?

ความจริงของ 'ตู้เซฟ' ที่ไม่มีลูกบิด

Ledger Nano ไม่ใช่ตู้เซฟแบบดั้งเดิม มันคืออุปกรณ์เก็บกุญแจส่วนตัว—ชิปขนาดพกพาที่ตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ต เพื่อป้องกันการแฮก การยึดตัวอุปกรณ์จึงไม่ใช่จุดจบของเรื่อง หากไม่รู้รหัสผ่าน 24 คำ (seed phrase) สินทรัพย์ก็ยังปลอดภัยในบล็อกเชน

ช่องว่างระหว่างกายภาพกับดิจิทัล

นี่คือจุดที่กฎหมายแบบเก่าล้าหลัง: การยึด 'ฮาร์ดแวร์' ไม่ได้หมายถึงการยึด 'สินทรัพย์' เจ้าหน้าที่อาจได้ตัวอุปกรณ์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงคริปโตข้างในได้โดยง่าย—เว้นแต่จะได้ seed phrase มาด้วย ซึ่งมักเก็บแยกต่างหาก เป็นเกมกลยุทธ์ระหว่างการซ่อนทางดิจิทัลกับการตามสืบทางกายภาพ

ข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็น (และความเสี่ยงที่มองเห็น)

สำหรับผู้ใช้ทั่วไป นี่คือการรักษาความปลอดภัยระดับสูง สำหรับบางกรณี มันอาจดูเหมือนช่องโหว่ทางกฎหมาย—การซุกสินทรัพย์ในที่ที่มือกฎหมายเอื้อมไม่ถึง แม้ FSA หรือหน่วยงานกำกับดูแลจะพยายามตามให้ทันเทคโนโลยี แต่โครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายยังวิ่งตามบล็อกเชนไม่ทัน

บทเรียนจากกรณีนี้ชัดเจน: ในยุคที่เงินกลายเป็นข้อมูล การปกป้องมันก็เปลี่ยนจากตู้เหล็กเป็นชิปเซมิคอนดักเตอร์ การยึด Ledger Nano อาจได้ข่าวดัง แต่การได้คริปโตที่อยู่ข้างใน—นั่นคืออีกเกม entirely

และนี่คือเหตุผลที่บางคนในวงการการเงินดั้งเดิมยังส่ายหัว—พวกเขาคุ้นเคยกับการยึดทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่ใช่การไล่ล่าคำ 24 คำที่อาจพิมพ์ไว้บนกระดาษแผ่นเดียว ซ่อนอยู่ในที่ที่ธรรมดาที่สุด

หนึ่งในของกลางที่สร้างความตื่นตระหนก และเกิดคำถามในวงกว้างคือ การพบ “ Ledger Nano” ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กคล้าย USB Drive ทำให้เกิดข้อกังวลว่า ผู้ต้องหาอาจใช้อุปกรณ์นี้เปรียบเสมือน “ตู้เซฟเคลื่อนที่” เพื่อซุกซ่อนเงินดิจิทัลมูลค่ามหาศาล หรือเตรียมการโยกย้ายทรัพย์สินหนีไปต่างประเทศหรือไม่

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกข้อเท็จจริงทางเทคนิคของอุปกรณ์ดังกล่าวว่า แท้จริงแล้วมันทำงานอย่างไร และในมุมมองของการสืบสวนสอบสวน มันคือเครื่องมือฟอกเงินที่ไร้ร่องรอยจริงหรือไม่ และจำเป็นไหมที่ต้องใช้อุปกรณ์ Crypto Hardware Wallet อย่าง Ledger Nano

ไขข้อข้องใจ: แค่ ‘กระดาษแผ่นเดียว’ ก็ซุกเงินหนีได้ ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์?

คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ การยึด Ledger Nano ได้ เท่ากับการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาได้จริงหรือไม่? คำตอบในทางเทคนิคคือ “ไม่ใช่” และในความเป็นจริง อาชญากรอาจใช้วิธีที่ “ง่ายและแนบเนียน” กว่านั้นมาก โดยไม่จำเป็นต้องพกพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ติดตัวเลย

1. ความลับของ ‘Seed Phrase’: พกทรัพย์สินพันล้านด้วยกระดาษแผ่นเดียว ในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล ตัวอุปกรณ์ Ledger Nano ทำหน้าที่เป็นเพียง “ตู้เซฟ” ภายนอก แต่กุญแจที่แท้จริงคือ Seed Phrase (ชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 12-24 คำ)

  • ไม่ต้องมีอุปกรณ์ก็หนีได้: หากผู้ถือครองสินทรัพย์จด Seed Phrase ชุดนี้ใส่กระดาษแผ่นเล็กๆ ซ่อนไว้ในกระเป๋าหรือใช้วิธีที่ตรวจสอบยากกว่านั้น เช่น การเขียนแทรกไว้ในสมุดหนังสือ หรือแม้กระทั่ง “การจำใส่สมอง” (Brain Wallet) พวกเขาสามารถเดินตัวเปล่าผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (T.M.) ไปยังประเทศใดก็ได้ทั่วโลก
  • การกู้คืนสินทรัพย์: เมื่อถึงปลายทาง เพียงแค่หาซื้ออุปกรณ์ Hardware Wallet เครื่องใหม่ หรือใช้แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินบนมือถือ แล้วกรอกคำศัพท์ 12-24 คำนั้นลงไป สิทธิ์ในการเข้าถึงเงินทั้งหมดจะกลับมาทันทีเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
  • นัยสำคัญต่อคดี: การที่ตำรวจยึด Ledger Nano ได้ จึงเป็นเพียงการยึด “ฮาร์ดแวร์” แต่หากผู้ต้องหายังคงถือครอง Seed Phrase อยู่ (ไม่ว่าจะในรูปแบบกระดาษหรือความทรงจำ) อำนาจในการควบคุมเงินก็ยังคงอยู่ที่ตัวผู้ต้องหา 100%

2. ร่องรอยทางการเงิน แม้จะเคลื่อนย้ายสิทธิ์การเข้าถึงได้ง่าย เพียงแค่พกกระดาษ แต่การ “ซ่อน” การเคลื่อนไหวของเงินนั้นทำได้ยาก เพราะธุรกรรมของ Bitcoin หรือ Ethereum เป็นแบบ Public Ledger

  • ตรวจสอบได้: ทุกครั้งที่มีการโอนเงิน ธุรกรรมนั้นจะถูกบันทึกถาวรบนบล็อกเชน เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเส้นทางเงิน ได้ว่าเงินถูกโอนไปที่ Address ใด
  • อายัดยาก: ปัญหาใหญ่ไม่ใช่การ “ตามหา” แต่คือ การ “ยึดคืน” เพราะหากเงินอยู่ในรูปแบบ Self-Custody เจ้าหน้าที่ไม่สามารถโทรสั่งธนาคารให้อายัดได้ ต้องอาศัยการยึด Seed Phrase หรือ Private Key มาให้ได้เท่านั้น

ความท้าทายในการยึดทรัพย์สินดิจิทัล ในคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจยุคใหม่ การพบ Ledger Nano ถือเป็นดาบสองคมสำหรับการสืบสวน

  • ข้อดี: เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ผู้ต้องหามีการครอบครองสินทรัพย์ดิจิทัล นำไปสู่การขยายผลตรวจสอบ Address บนบล็อกเชน
  • ข้อเสีย: หากเจ้าหน้าที่ยึดได้เพียงตัวเครื่อง แต่ไม่พบกระดาษจด Seed Phrase และผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือบอกรหัสผ่าน (PIN) การจะเจาะระบบเพื่อเอาเงินออกมานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางเทคนิค

กรณีการยึด Ledger Nano จาก “นานา” จึงสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของอาชญากรรมยุคดิจิทัล เพราะ “ตัวเงินไม่ได้อยู่ในเครื่อง” แต่อยู่บนเครือข่ายบล็อกเชน และ “กุญแจ” ไม่ได้มีรูปร่างเป็นวัตถุเสมอไป แต่อาจเป็นเพียง ตัวอักษรบนกระดาษ หรือ ความทรงจำ ในสมองของผู้ต้องหา

ดังนั้นการสกัดกั้นการโยกย้ายทรัพย์สินในคดีลักษณะนี้ การยึดอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องสืบสวนหา Seed Phrase หรือหลักฐานการจดบันทึกรหัสผ่านต่างๆ ควบคู่ไปด้วย มิเช่นนั้นแล้ว แม้ตัวจะถูกจับ หรืออุปกรณ์จะถูกยึด แต่ทรัพย์สินดิจิทัลมูลค่ามหาศาลก็อาจยังลอยนวลอยู่ในอากาศ รอวันถูกดึงกลับไปโดยผู้ที่มีรหัสผ่านที่แท้จริง

|Square

ดาวน์โหลดแอป BTCC เพื่อเริ่มต้นเส้นทางคริปโตของคุณ

สมัครเลยวันนี้ สแกน เพื่อเข้าร่วมชุมชนที่มีผู้ใช้ กว่า 100 ล้านคน