เปิดใจ CEO Webull ประเทศไทย ‘ชลเดช เขมะรัตนา’ กับกลยุทธ์พลิกโฉมวงการการลงทุนดิจิทัล
แพลตฟอร์มเทรดหุ้นและคริปโตชื่อดังเผยโฉมแผนบุกตลาดไทย พร้อมกลยุทธ์ดึงนักลงทุนรุ่นใหม่
‘ชลเดช เขมะรัตนา’ ซีอีโอคนล่าสุดของ Webull ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และทิศทางของบริษัทในปี 2025
จากแอปเทรดหุ้นสู่แพลตฟอร์มคริปโตครบวงจร - Webull วางแผนอะไรบ้างในตลาดไทย?
‘เราจะไม่ใช่แค่โบรกเกอร์’ คำประกาศเจตนารมณ์ของซีอีโอที่มองการณ์ไกลกว่าตลาดหุ้นดั้งเดิม
ปิดท้ายด้วยมุมมองเสียดสีวงการ: ‘ในเมื่อธนาคารให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ ทำไมไม่ลองมองตลาดดิจิทัล?’
Q: ปัจจุบันให้บริการอะไรบ้าง และจะเปิดตัวอะไรเพิ่มเติมในไทย?
ปัจจุบัน Webull ให้บริการในตลาดอเมริกาอย่างครบวงจร โดยถือเป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์ที่สุด เรามีผลิตภัณฑ์การลงทุนหลัก ทั้งหุ้นสหรัฐฯ (U.S. Stocks), กองทุน ETFs, ออปชันทั้งบนดัชนีและหุ้นรายตัว (Options) รวมถึง ข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ครอบคลุมทุกตลาดในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน เรากำลังเตรียมเปิดให้บริการหุ้นไทย ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งมองว่าเป็นช่วงเวลาน่าสนใจ แม้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่หุ้นบางตัวเริ่มให้ ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่น่าสนใจ ซึ่งตอบโจทย์นักลงทุนสายปันผลได้เป็นอย่างดี
Q: นักลงทุนไทยให้ความสนใจตลาดไหนมากที่สุด?
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ พบว่า มากกว่า 50% ของพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนไทยอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นักลงทุนไทยจำนวนมากเริ่มเปิดรับการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความโปร่งใส สภาพคล่องสูง และมีข้อมูลให้ติดตามอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ได้ดีมาก
แบรนด์ระดับโลกอย่าง Tesla, Netflix, Apple, Google, NVIDIA แม้จะเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน แต่รายได้ของพวกเขามาจากผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้นักลงทุนไทยรู้สึกคุ้นเคย เชื่อมโยง และติดตามข่าวสารของบริษัทเหล่านี้ได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ คนไทยก็ติดตามสดกันเที่ยงคืน หรือเมื่อ Google เปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ อย่าง Gemini คนไทยก็พูดถึงในโซเชียลอย่างกว้างขวาง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าการลงทุนในหุ้นอเมริกา ไม่ใช่เพียงแค่การมองผลตอบแทนระยะยาวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของ “ความใกล้ชิดทางข้อมูลและพฤติกรรมการบริโภค” ที่ทำให้คนไทยเข้าใจ เข้าใจธุรกิจ และตัดสินใจลงทุนได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ที่อาจเข้าถึงข้อมูลยากกว่า
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หุ้นอเมริกายังครองใจนักลงทุนไทย และเป็นตลาดหลักที่หลายคนเลือกลงทุนอย่างต่อเนื่อง
Q: เปิดบัญชี Webull ยากไหม? ใช้เอกสารอะไรบ้าง
กระบวนการทั้งหมดสามารถทำผ่านแอปพลิเคชันได้แบบ 100% โดยไม่มีขั้นตอนใดที่ต้องไปที่สาขาหรือส่งเอกสารด้วยตนเอง เริ่มจากการ ดาวน์โหลดแอป Webull แล้วลงทะเบียนด้วยเบอร์มือถือหรืออีเมล จากนั้นกรอกข้อมูลส่วนตัวและ ยืนยันตัวตนผ่าน NDID หรือ ThaID ได้ทันทีผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งปลอดภัยและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
เมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อย ก็สามารถเริ่มต้นฝากเงินได้ทันทีผ่าน ระบบ Dynamic QR Payment ซึ่งสามารถสแกนผ่านแอป Mobile Banking ของธนาคารที่ใช้ได้เลย ที่สำคัญระบบจะรองรับเฉพาะบัญชีที่มีชื่อเดียวกันกับผู้เปิดบัญชีเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและเป็นไปตามกฎของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
หลังจากนั้นหากต้องการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถ แลกเงินบาทเป็นดอลลาร์ได้ทันทีผ่านแอป โดยอัตราแลกเปลี่ยนจะแสดงแบบโปร่งใส ชัดเจน เห็นทุกขั้นตอน และสามารถแลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสำหรับเงินดอลลาร์ที่อยู่ในพอร์ตแต่ยังไม่ได้ใช้ลงทุน Webull ยังมีบริการให้ ดอกเบี้ยเงินสดในบัญชีที่อัตรา 3.5% ต่อปี โดยคิดดอกเบี้ยแบบรายวัน และจ่ายคืนเข้าพอร์ตทุกต้นเดือนในรูปแบบ ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) โดยอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ช่วยเพิ่มมูลค่าเงินสดให้กับนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ยังไม่ได้ตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม
Q: ค่าคอมมิชชันของ Webull ถูกที่สุดในไทยจริงหรือ
ใช่ครับ ปัจจุบันค่าคอมมิชชันของ Webull ในการเทรดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มต้นเพียง 0.1% ต่อรายการ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอัตราที่ต่ำที่สุดในตลาดโบรกเกอร์ไทย ณ ตอนนี้ ที่สำคัญคือ ไม่มีค่าธรรมเนียมแฝง และ ไม่มีค่าใช้บริการแพลตฟอร์มเพิ่มเติม ไม่ว่าจะใช้งานผ่านแอปบนมือถือ แล็ปท็อป หรือเดสก์ท็อปก็ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับลูกค้าใหม่เรายังมีโปรโมชันเทรดฟรีในช่วงแรก เพื่อให้ได้ทดลองใช้งานระบบก่อน ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนในต่างประเทศ หรืออยากทดลองแพลตฟอร์มระดับโลกที่ครบเครื่องทั้งในด้านข้อมูล ความเสถียร และเครื่องมือวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และในอนาคต หากพบว่ามีกลุ่มลูกค้านักเทรดที่มีปริมาณการซื้อขายสูง (Active Traders) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Webull ก็มีแผนจะเปิดตัว “บัญชีพิเศษ” ที่มีค่าคอมมิชชันต่ำกว่านี้อีก เพื่อรองรับพฤติกรรมของนักลงทุนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ทั้งหมดนี้เป็นไปตามหลักการของเราที่อยากให้ Webull เป็นแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้ใช้งาน ตั้งแต่นักลงทุนระยะยาว ไปจนถึงนักเทรดรายวันระดับมืออาชีพ
Q: มีเป้าหมายอะไรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
แนวทางของ Webull Thailand ในอีก 3 ปีข้างหน้าคือการขยายตัวจากแพลตฟอร์มที่เริ่มต้นด้วยการให้บริการหุ้นอเมริกา ไปสู่การเปิดให้เทรดหุ้นไทย และต่อยอดด้วยการนำหุ้นไทยไปเข้าถึงนักลงทุนในต่างประเทศผ่านเครือข่ายของ Webull ที่มีอยู่แล้วทั่วโลก จากนั้นเราตั้งใจจะรวมตลาดหุ้นหลักอื่น ๆ จากทั่วโลกเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนจากทั่วโลก
อีกด้านหนึ่งคือการขยายสู่ธุรกิจแบบ Institutional หรือโบรกเกอร์สำหรับลูกค้าสถาบัน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้โบรกเกอร์รายอื่นส่งออเดอร์ผ่าน Webull ได้เช่นกัน โดยใช้โครงสร้างและความมั่นคงของระบบที่เราเชื่อมโยงอยู่แล้วในหลายประเทศ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะ Webull มีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศต่าง ๆ อยู่แล้ว เพียงแค่ซิงก์ระบบให้เชื่อมต่อกัน เราก็สามารถสร้างเครือข่ายการลงทุนระดับโลกให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น
Q: มองเศรษฐกิจไทยตอนนี้และหุ้นไทยอย่างไร
มุมมองของเราต่อเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า อยู่ในภาวะ “ซึม” คือแม้จะไม่มีสัญญาณวิกฤตที่ชัดเจนเหมือนในอดีต แต่ก็ยังขาดแรงกระตุ้นที่มีพลังพอจะผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตได้ ทั้งในเชิงของการใช้จ่ายภายในประเทศ เมกะโปรเจกต์ที่ยังไม่เดินหน้าอย่างจริงจัง หรือจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่เคยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ต่างก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติลังเลคือภาพลักษณ์ในด้านความปลอดภัยและความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่าไทยยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรต่อการเดินทาง ผนวกกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจน สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้การตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติยังค่อนข้างเป็นไปอย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม ในมุมของตลาดทุน หากพิจารณาในเชิงคุณค่า (Valuation) จะพบว่าหุ้นไทยบางกลุ่ม ยังคงมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง กำไรสุทธิยังอยู่ในระดับสูง และมีอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ที่อยู่ในระดับน่าสนใจที่ประมาณ 3-5% ขณะที่ราคาหุ้นหลายตัวได้ปรับฐานลงมาค่อนข้างมาก ทำให้เริ่มมีความน่าสนใจในเชิงการลงทุนระยะกลางถึงยาว
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ Webull เตรียมเปิดให้บริการหุ้นไทยในแพลตฟอร์มของเราในไตรมาสที่ 4 เพราะเรามองว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะยังชะลอตัว แต่ตลาดหุ้นไทยได้สะท้อนความไม่แน่นอนเหล่านี้ไปแล้วระดับหนึ่ง และเริ่มเข้าสู่จุดที่มีโอกาสน่าลงทุนมากขึ้น เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างสภาพคล่องให้ตลาดทุนไทย และช่วยให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าถึงหุ้นไทยได้ง่ายขึ้น
Q: กลุ่มหุ้นหรือธีมที่น่าจับตาคืออะไร
กลุ่มหุ้นที่น่าจับตามากที่สุดในมุมมองของ Webull ในตอนนี้ยังคงเป็นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะในธีมของ AI (Artificial Intelligence) ซึ่งเราเชื่อว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ “กระแสชั่วคราว” แต่เป็น “เมกะเทรนด์” ที่กำลังเปลี่ยนโลกจริงๆ หากเราย้อนดูภาพรวมของสตาร์ทอัพทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าบริษัทที่สามารถระดมทุนได้ในระดับใหญ่เกินครึ่งล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI ไม่ว่าจะเป็น AI ด้านภาพ เสียง ข้อความ หรือ AI ในเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรม ความร้อนแรงของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่บริษัทเกิดใหม่เท่านั้น แต่ยังขยายไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่ต่างเร่งพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI เข้ามาเป็นหัวใจหลักของผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ทางธุรกิจ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน NVIDIA ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป AI ชั้นนำของโลก ได้กลายเป็น “ศูนย์กลาง” ของการเติบโตด้านนี้ เพราะ AI เกือบทุกตัวต้องใช้พลังการประมวลผลจาก NVIDIA ซึ่งทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากดีมานด์ทั่วโลก หรืออย่าง Meta (Facebook) ภายใต้การนำของ Mark Zuckerberg ก็กำลังเร่งพัฒนา AI อย่างจริงจัง พร้อมกับการเข้าซื้อกิจการและบุคลากรจากบริษัทด้าน AI ชั้นนำทั่วโลก
ขณะที่ Google (Alphabet) เองก็ลงทุนมหาศาลกับ AI ทั้งในระดับเทคโนโลยีหลัก และการผสาน AI เข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่คนใช้ทุกวัน เช่น Google Maps, Gmail, Search และ Android ด้าน Tesla เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำ AI ไปใช้ในโลกจริง โดยเฉพาะกับ Robotaxi ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่พัฒนาโดย AI อย่างเต็มรูปแบบ และด้วยความที่ Webull ให้บริการหุ้นสหรัฐฯ อย่างครบถ้วน ทั้งหุ้นรายตัวและ ETF เราจึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจธีม AI จะสามารถเข้าถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีระดับโลกได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีข้อมูลครบ
Q: ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของ Webull เป็นอย่างไร
Webull ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือในระดับโลก มีรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงและโปร่งใส ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น NASDAQ ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก ด้วยมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท จุดเด่นของ Webull คือการโฟกัสเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้นคือ “โบรกเกอร์” ไม่มีธุรกิจอื่นปะปน และไม่มีความเสี่ยงจากหนี้เสียหรือการปล่อยสินเชื่อเหมือนธุรกิจการเงินรูปแบบอื่นๆ
ในแง่ของความปลอดภัย เงินของลูกค้าในสหรัฐฯ ได้รับการคุ้มครองโดย SIPC (Securities Investor Protection Corporation) ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับกองทุนคุ้มครองเงินฝากในระบบธนาคาร ช่วยคุ้มครองเงินลงทุนในกรณีที่บริษัทโบรกเกอร์มีปัญหา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดที่นักลงทุนในสหรัฐฯ ให้ความเชื่อมั่นมาอย่างยาวนาน
นอกจากนี้ Webull ยังมีการบริหารจัดการเงินของลูกค้าอย่างแยกส่วนชัดเจน เงินที่ลูกค้าฝากมา จะถูกฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ระดับโลก โดย Webull จะนำเงินนั้นไปฝากต่อในบัญชีที่ปลอดภัย และได้รับดอกเบี้ยกลับมา ซึ่งดอกเบี้ยนั้นจะถูกคืนกลับให้ลูกค้า ในด้านการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน (FX) Webull ใช้บริการจากธนาคารชั้นนำระดับโลกเช่นกัน เพื่อการให้บริการอัตราแลกเปลี่ยนที่โปร่งใส ค่าธรรมเนียมต่ำ ช่วยให้ลูกค้าได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าที่สุด
Q: Webull ออกแบบแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ทั้งสายเทรดและสายลงทุนอย่างไร
ในฝั่งของ สายเทรด เราเปิดให้เทรดหุ้นสหรัฐฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในยุคที่โอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรอเวลาตลาดเปิดตามปกติ นอกจากนี้ Webull ยังรองรับการตั้ง Stop Loss หรือคำสั่งพิเศษอื่นๆ ที่ช่วยบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือ ไม่มีข้อจำกัดเรื่อง Pattern Day Trading ซึ่งโบรกเกอร์หลายรายยังมีอยู่ หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะเทรดเข้าออกวันละกี่ครั้ง หรือกี่รอบในสัปดาห์ บัญชีของคุณจะไม่ถูกล็อก หรือโดนบังคับพักการซื้อขายแต่อย่างใด พร้อมทั้งยังให้ ค่าคอมมิชชันต่ำ และ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้แพลตฟอร์มใดๆ เพิ่มเติม ทำให้สามารถเทรดได้อย่างอิสระเต็มประสิทธิภาพ
ส่วนในฝั่งของ สายลงทุน สามารถลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ได้โดยไม่เสียค่าคอมมิชชัน และเมื่อได้รับเงินปันผลจากการถือครองหุ้น ระบบก็สามารถนำเงินปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นเดิม โดยอัตโนมัติแบบ No Commission ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถสะสมพอร์ตอย่างเป็นระบบและประหยัดต้นทุน
Webull ยังมี ETF ให้เลือกครบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่อิงกับดัชนี หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ทองคำ น้ำมัน ตราสารหนี้ หรือธีมการลงทุนเฉพาะทางต่างๆ ทำให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตได้อย่างหลากหลายตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่ต้องการ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในแอปเดียว
อ่านข่าวต้นฉบับ: สัมภาษณ์พิเศษ…“ชลเดช เขมะรัตนา” CEO Webull ประเทศไทย