‘พิชัย’ ปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่! ปล่อยแพ็กเกจช่วยเหลือฉุกเฉิน ‘ซอฟต์โลน-เงินอุดหนุน-คืนภาษี’ กระตุ้นตลาด
รัฐบาลเร่งเครื่องเยียวยาเศรษฐกิจด้วยมาตรการสามประสาน—ใครจะได้ประโยชน์จริง?
‘ซอฟต์โลน’ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ-‘อุดหนุนเงินสด’ ฉีดตรงสู่กระเป๋า-‘คืนภาษี’ ดึงกำลังซื้อคืนตลาด
นักวิเคราะห์ตั้งคำถาม: แพ็กเกจนี้ช่วย SMEs จริงหรือแค่สร้างหนี้สาธารณะเพิ่ม? วงการคริปโตอาจได้อานิสงส์จากสภาพคล่องที่พุ่งพรวด!
100 วันยังไม่จบ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานงาน The Art of The (Re) Deal ว่าการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐใช้เวลาในการเจรจามากว่า 100 วันแล้ว ตั้งแต่ 2 เม.ย. 68 และจะครบเส้นตายอีกครั้งในวันที่ 1 ส.ค. 68 นี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 58-60% โดยการส่งออกไปสหรัฐคิดเป็น 18% ดังนั้น ในหลักการคือต้องเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี และต้องดูเงื่อนไขว่าอะไรจะกระทบกับประเทศที่ 3 และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ Geopolitics ต้องดูว่ามีการเจรจาที่ไม่เป็นการชักศึกเข้าบ้าน
ดังนั้น การต่อต้านไม่ใช่ทางออก ไทยจำเป็นต้องเจรจา ซึ่งรวมถึงการลงนามในข้อตกลง Nondisclosure Agreement เปิดเผยข้อมูลบางส่วนไม่ได้ แต่ในหลักการนั้นพิจารณาประกอบกับเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อคู่ค้าอื่น ๆ และความสัมพันธ์ในภูมิภาค โดยยืนยันในการเจรจา คือต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน รักษาสมดุล และผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็ต้องทำให้ได้โดยยึดประโยชน์ร่วมกัน
เปิดหลักเกณฑ์เจรจา
นายพิชัยกล่าวว่า แนวการเจรจาภาษีกับสหรัฐยึดอยู่บนหลักเกณฑ์ 1.ไทยต้องเปิดตลาดให้กว้างขึ้นในสินค้าที่สหรัฐอยากขาย และเราอยากซื้อ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่สินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐ ปัจจุบันได้รับสิทธิภาษี 0% อยู่แล้ว แต่ยังมีบางรายการที่ไทยยังไม่สามารถแข่งขันได้ หรือผลิตไม่เพียงพอ ซึ่งต้องเจรจาเพิ่มเติม
พร้อมกันนี้ไทยได้เสนอเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐ จากเดิมประมาณ 63-64% ของมูลค่าสินค้าสหรัฐที่เข้าไทย จะขยายเป็น 69% โดยเพิ่มสินค้าบางประเภทที่ไม่เคยเปิดตลาดมาก่อน เช่น ลำไย และปลานิล ตามที่สหรัฐร้องขอ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ในไทยราคาถูกมาก จึงไม่น่าจะกระทบกับภาคการผลิตในประเทศมากนัก
ขณะเดียวกัน ไทยยังคงรักษามาตรการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญ โดยเฉพาะภาคเกษตรที่ยังจำเป็นต้องได้รับการดูแล เช่นเดียวกับภาคยานยนต์ที่แม้จะมีการพูดถึงการเปิดตลาด แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจในทันที โดยเฉพาะสินค้ารถยนต์พวงมาลัยซ้าย ซึ่งสหรัฐมีตลาดใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลก และอาจไม่ได้เข้ามาขายในไทยอย่างจริงจัง
บีบเพิ่ม Local Content
2.ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐมากขึ้น เพราะสหรัฐต้องการส่งออกมากขึ้น และสร้างฐานผลิตในสหรัฐให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น นำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐมาแปรรูปเป็นอาหาร รวมถึงสหรัฐมีแหล่งพลังงานสำรองจำนวนมาก ไทยสามารถพิจารณาการซื้อพลังงานจากสหรัฐ และกำลังพิจารณาว่าเราสามารถไปลงทุนภาคพลังงานที่สหรัฐได้ด้วยหรือไม่
3.การให้ความสำคัญกับการป้องกันสวมสิทธิสินค้า โดยข้อเสนอของสหรัฐต้องการให้เพิ่มการใช้วัตถุดิบหรือส่วนประกอบผลิตในประเทศไทย (Local Content) ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าสหรัฐจะกำหนดสัดส่วนเท่าไร แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง 60-80% จากที่ไทยกำหนดไว้ 40% ซึ่งหากมีการปรับเกณฑ์นี้อาจไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศเวียดนามมากนัก
“เพราะเวียดนามใช้ Local Content น้อยมาก ซึ่งหมายความว่าเป็นสินค้าที่มีการสวมสิทธิมาก จึงเจอภาษีของสินค้าที่ผ่านมาทางสูงถึง 40% ขณะที่ไทยมีการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นในการผลิต และทำให้ซัพพลายเชนที่เป็น Local Content สูงขึ้น” นายพิชัยกล่าว
เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
นายพิชัยกล่าวว่า ข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้ไทยปรับตัวโดยเฉพาะ ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ต้องเร่งปรับสมดุลดีมานด์ซัพพลาย พัฒนาพันธุ์พืช วิธีการเพาะปลูก และรับมือกับภัยแล้ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงเรื่องการเพิ่ม Local Content ลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง เปิดตลาดใหม่ให้หลากหลายและยั่งยืนมากขึ้น
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวจะต้องปฏิรูปให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ รองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในปีนี้ที่นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนมาก และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ต้องเร่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วนของการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นายพิชัยกล่าวว่า ครั้งนี้ประเทศไทยจะต้องปรับตัว จากการพึ่งพาผู้อื่นแล้วส่งออก จะต้องเป็นเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น บริหารและพึ่งพาตัวเอง ใช้สิ่งที่มีอยู่ในประเทศไทย ทรัพยากรที่มีอยู่ ในการที่จะเป็นผู้ผลิตแล้วส่งออก จะต้องเปลี่ยนวิธีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง
“ข้อเสนอต่าง ๆ การเสนอไปแล้วจะผูกพันระยะยาว ซึ่งจะมีทั้งผลดีและผลไม่ดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเสนอต้องเป็น Win-Win Solution แม้ว่าทั้งทางสหรัฐอยากเห็น Win ด้านเดียว แต่นี่คือวิธีคิดของเราที่จะประคองให้ได้”
โมเดลเยียวยา 2 แสนล้าน
รองนายกฯกล่าวว่า รัฐบาลตั้งโจทย์ว่าการเจรจาไม่ว่าจะจบอย่างไร ถือว่าทั่วโลกมีปัญหาหมด เพียงแต่ปัญหามากหรือน้อยต่างกัน ดังนั้น นอกจากแนวทางเปลี่ยนผ่านและข้อเสนอแล้ว รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการเยียวยาชึ่งทําได้ 2-3 วิธี ที่ดีที่สุดคือให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบแจ้งมา คลังจึงมีการทํางานกับสภาอุตสาหกรรม ให้แต่ละเซ็กเตอร์มีปัญหาอะไร แก้อย่างไรเสนอมา
มาตรการเยียวยาต่าง ๆ รัฐบาลก็ได้เตรียมการมาระดับหนึ่ง จากข้อมูลและการศึกษากลุ่มที่เจอปัญหาและต้องได้รับการดูแลมากอยู่ที่เอสเอ็มอีขนาดเล็ก รวมทั้งภาคเกษตรที่ต้องระวัง ดังนั้น การเยียวยาจะต้องเจาะให้ถูกจุด ผู้ที่ดูแลมีทั้งธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ แต่ภาคเกษตรกรส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารภาครัฐ มาตรการที่เตรียมเงินไว้ซอฟต์โลนประมาณ 200,000 ล้านบาท คือดอกเบี้ย 0.01% เพื่อจะส่งผ่านไปให้ผู้ประกอบการ
“สถาบันการเงินที่ไปช่วยเหลือต้องเข้าใจลูกค้าด้วย ว่าช่วยในเรื่องอะไร ช่วยสภาพคล่อง ช่วยกันลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนผ่าน หรือช่วยในการที่จะแบกรับสินค้าคงเหลือในช่วงที่เป็นสุญญากาศ เป็นต้น”
ส่วนกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ขึ้นมา แบงก์พาณิชย์ก็มีการคุยกันแล้ว ก็ขอให้เก็บข้อมูลทั้งหมดว่าต้องการมาตรการอะไร หากเกินความสามารถก็เสนอมาได้ เพื่อจะแก้ไขให้ได้ครบในสิ่งที่ต้องการ
พิชัยดีใจที่เริ่มเจรจาช้า
นายพิชัยกล่าวว่า กรณีเห็นดีลของเวียดนาม 20-40% แล้วก็ตกใจทําไมสูงขนาดนั้น ก็คิดว่าน่าจะเป็นเบนช์มาร์กของหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่อยู่ในภูมิภาคนี้ แต่ประเทศที่จบไปก็ยังงง ๆ ว่าภาษี 40% ใช้กับเงื่อนไขอะไร อะไรเรียกว่าโลคอลคอนเทนต์ แบบไหนเรียกว่าสินค้าผ่านทาง กำหนดสัดส่วนโลคอลคอนเทนต์เท่าไหร่
อย่างไรก็ดี ไทยเพิ่งเปิดตลาดการลงทุนสําหรับเทคโนโลยีใหม่ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเก่า ซึ่งโลคอลคอนเทนต์ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นก็มีความโชคดีอยู่ในเรื่องเหล่านี้
“เมื่อเกิดเหตุใหม่ ใคร ๆ ก็อยากจะเร่งเจรจา ผมก็อยากเร่งเจรจา แต่พอมาวันนี้ก็ดีใจที่ช้าไปหน่อยนึง เพราะได้เห็นคนอื่น ได้เห็นวิธีคิด เห็นการเปลี่ยนแปลงของสหรัฐตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลาดเงิน ตลาดทุน และมาตรการภาษีที่ออกมา ขณะที่ได้เริ่มเห็นข้อมูลคนอื่นก็กลายเป็นผลดี ทำให้สามารถมานั่งคิดได้ว่าน่าจะออกทางไหน” รมว.คลังกล่าว
“ยาขม” ไม่มีอะไรได้ 100%
นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญ เงื่อนไขหลาย ๆ อย่างที่เจรจาทำข้อตกลงก็คงต้องเข้าสภา และการที่ทําให้สาธารณชนได้รับรู้และเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ
“เรื่องนี้เป็นยาขม เพราะฉะนั้นจะต้องทําความเข้าใจแล้วก็เดินไปในทิศทางเดียวกัน เข้าใจแล้วตัดสินใจโดยยึดถือประเทศเป็นหลัก แต่ไม่มีอะไรได้ 100% การจะได้อะไรมาบางอย่างอาจจะต้องสูญเสียไปบ้าง คงไม่มีอะไรได้หมด”
แก้โจทย์ดึงลงทุนกระตุก GDP
นอกจากนี้ โจทย์ที่สําคัญคือต้องดึงการลงทุนให้ได้ถึงแม้จะมีปัญหาภาษี เพราะการลงทุนเป็นส่วนสําคัญในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถ้าการลงทุนต่ำจีดีพีดึงไม่ขึ้น เพราะภาคการเกษตรวันนี้ยังไม่สามารถจะ Perform ได้ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าหลาย ๆ เรื่องที่ต้องทําเพื่อดึงดูดการลงทุน และสิ่งแรกที่ต้องทําให้ดีขึ้น คือเรื่องความพร้อมของอินฟราสตรักเจอร์ น้ำ ไฟฟ้า นักลงทุนต่างชาติถามเรื่องน้ำพร้อมมั้ย หรือไฟฟ้าที่มีพร้อม แต่ราคาต้องใช่ด้วย
รัฐบาลให้ความสําคัญเรื่องนี้ ดังนั้น ปีนี้จึงมีการปรับการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 100,000 กว่าล้าน มาลงทุนในเรื่องระบบน้ำ เป็นโครงการระยะสั้น เพื่อไปเชื่อมต่อโครงการระยะกลาง ระยะยาว เพื่อจะทําให้โครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุนมากขึ้น
รองนายกฯกล่าวว่า อีกเรื่องที่สําคัญก็คือ เมื่อรู้แล้วว่าตลาดสหรัฐอเมริกามีเงื่อนไขเรื่อง Supply Chain-Local Content โดยเมื่อก่อนบริษัทอเมริกามาลงทุนผลิตแล้วส่งออกกลับไป แต่วันนี้เราต้องพยายามที่จะบอกว่าให้มาสร้าง Supply Chain ในเมืองไทย เพื่อเป็นการเพิ่ม Local Content จากที่ผ่านมา มาจากประเทศจีนเป็นหลัก เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องทํา จึงต้องมีการผลักดันและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
คลังเตรียมแพ็กเกจใหญ่
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้มีการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ไว้ โดยวางกรอบไว้เป็นแพ็กเกจใหญ่ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ 1.ซอฟต์โลน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยในการปรับตัว และ 2.การอุดหนุนจากรัฐ (Subsidy) เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งส่วนนี้เป็นไปได้ทั้งมาตรการคืนภาษี หรือการให้เงินช่วยเหลือ หรืออื่น ๆ ทั้งนี้ จะทำเป็นเฟส เช่นเฟสละ 20,000 ล้านบาท เป็นต้น โดยประเมินตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
“จังหวะนี้อาจไม่ใช่จังหวะที่จะปรับตัว เพราะคงไม่ทันแล้ว เนื่องจากผู้ประกอบการก็มีการผลิต ส่งออกแล้ว ดังนั้น ก็ต้องเป็นในส่วนของการเยียวยาผลกระทบ ซึ่งกรณีเป็นเงินเยียวยาก็ต้องดูผลศึกษาจากทางเอกชน (กกร.) ว่าสัดส่วนการช่วยเหลือจะเป็นเท่าไหร่ โดยกระทรวงการคลังอยู่ในช่วงออกแบบนโยบายร่วมกับเอกชน เพื่อให้ตรงกับความต้องการ หรือตรงจุดที่สุด โดยต้องดูด้วยว่าผลกระทบจริง ๆ จะออกมาเท่าไหร่”
สำหรับวงเงินซอฟต์โลน 2 แสนล้านบาทที่ตั้งไว้ เป็นการตั้งไว้รองรับกรณีเลวร้ายสุด คือไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% แต่หากสุดท้ายเจรจาแล้วภาษีลดลงมา ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินทั้งหมด
ภาษีทรัมป์ฉุดส่งออกหาย 50%
นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และฐานะรองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลงทุนในประเทศไทย มีทั้งผู้ประกอบการไทยและสหรัฐ โดยสินค้ากลุ่มนี้ส่งออกไปตลาดสหรัฐต่อปีเฉลี่ยกว่าแสนล้านบาท
หากผู้ส่งออกเจออัตราภาษีที่ 36% มองว่าการทำธุรกิจจะลำบากขึ้น โดยในขณะที่ภาครัฐยังคงอยู่ระหว่างเจรจาต่อรอง ก็ประเมินว่าหากไทยต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า 36% เชื่อว่าการส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐจะหายไปประมาณ 50%
โดยสิ่งที่ทางกลุ่มได้เสนอกับทีมไทยแลนด์ เช่น การหาช่องทางตลาดใหม่ ๆ ในการบุกตลาดส่งออก การออกมาตรการ และบังคับใช้กฎหมายในสินค้าที่ด้อยคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น
สำหรับกรณีรัฐบาลเตรียมซอฟต์โลน 2 แสนล้านบาท เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสภาพคล่องและมีเงินทุนหมุนเวียนในการยกระดับและพัฒนาการผลิตสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ แต่ทั้งนี้ ก็อยากให้มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น อาจจะชำระคืนเฉพาะดอกเบี้ยในปีแรก และเริ่มคืนเงินต้นในปีที่สองและสาม และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยค้ำประกัน พร้อมกับลดค่าธรรมเนียม
สิ่งทอเสนอใช้ฝ้ายจากอเมริกา
นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยกล่าวว่า สมาคมได้จัดทำข้อเสนอในการพิจารณาเจรจาต่อรองด้านภาษีกับสหรัฐ โดยทางสมาคมเห็นด้วยกับการที่ไทยเร่งเจรจาให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าของไทยลดลง และเปิดโอกาสให้นำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ แทนการนำเข้าวัตถุดิบจากเพื่อนบ้านให้มากขึ้นถึง 80% ส่งเสริมให้ใช้ฝ้ายจากสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์สหรัฐอเมริกา
อีกทั้งให้มีการลดอัตราภาษีที่ถูกปรับขึ้นให้น้อยลง หรือยกเว้นไม่ขึ้นภาษีในหมวดบางหมวดสินค้า เช่น สินค้าที่มีนวัตกรรมเพื่อกระตุ้นการส่งออกสินค้า ผลิตภายใต้มาตรฐานความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ผลิตภายใต้การรับรองมาตรฐานการจ้างงาน
ส่วนมาตรการที่ไม่ใช่ทางภาษี อำนวยความสะดวกในทางการค้า ลดขั้นตอน และระยะเวลาในการตรวจสอบสินค้าที่ท่าเรือ เพื่อลดต้นทุนและความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้า
อุตฯอาหารชง 7 มาตรการ
นายองอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป (TFPA) เปิดเผยว่า สมาคมได้หารือกับสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย (TFA) เพื่อสรุปมาตรการเสนอภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือและเยียวยา โดยสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น สับปะรดกระป๋อง ข้าวโพดหวานกระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง ปลาทูน่าและอาหารทะเลกระป๋อง เครื่องปรุงรสและอาหารพร้อมรับประทาน
มาตรการเร่งด่วนที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมี 7 เรื่อง ได้แก่ 1.รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท 2.หนุนเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน 3.พิจารณาภาษีนำเข้าสหรัฐอย่างมีเงื่อนไข 4.ขยายตลาดใหม่ ลดพึ่งพาอเมริกา 5.เร่งเจรจา FTA ใหม่ 6.สร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยในระดับโลก 7.จัดทำข้อมูล Local Content เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ
“มาตรการด้านการเงินเป็นสิ่งที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องลดอัตราดอกเบี้ย เพราะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการและผู้ผลิตภายในประเทศ ค่าเงินบาทก็เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสินค้าไทยในตลาดโลก ไม่ต้องการให้ผันผวนและให้มีเสถียรภาพ”
ส่วนการเจรจาต่อรองเพื่อลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าของไทยที่ไปตลาดสหรัฐ ยังคาดหวังให้ทีมไทยแลนด์เจรจาให้อัตราภาษีของสินค้าไทย เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหรือน้อยกว่า และแม้ว่าจะอยู่ในอัตราเดียวกัน หากเทียบเรื่องของต้นทุน บางประเทศยังได้เปรียบกว่าประเทศไทย
เหล็กขอมาตรการโต้ทุ่มตลาด
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการหารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีความกังวลว่าการขึ้นภาษีของทรัมป์จะยิ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะสินค้าเหล็กที่เคยทะลักเข้ามาสู่อาเซียนและไทย หลังจากสหรัฐและยุโรปตั้งกำแพงภาษี ดังนั้น จึงขอให้รัฐเร่งใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) มาตรการปกป้องการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure : SG) มาใช้สกัดสินค้าทุกประเภทที่จะทะลักเข้าไทยโดยเร็วที่สุด
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมกล่าวว่า ไทยยังคงมีสถานะเป็นผู้รับจ้างการผลิต (OEM) และไม่มีสินค้านวัตกรรมที่เป็นของตนเอง สิ่งที่เสนอต่อภาครัฐเพื่อนำไปเจรจากับสหรัฐ คือชิ้นส่วนพวกชิปที่ผลิตในไทย แต่เป็นสัญชาติอเมริกัน หรือสินค้าเกษตรที่เป็นของไทยแท้ ๆ มี Local Content เกิน 50% รัฐต้องต่อรองภาษีให้เหลือ 20-25% เป็นอัตราที่ยังพอรับได้ และสินค้าที่เป็นทางผ่านให้เจรจาเป็น 40% เหมือนเวียดนาม เพราะเป้าหมายของทรัมป์บีบไทยตรงนี้ ดังนั้น ควรแสดงให้เห็นว่ายอมให้เก็บภาษีสูงในส่วนสินค้าสวมสิทธิสินค้าทางผ่านได้
อ่านข่าวต้นฉบับ: ‘พิชัย’ รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ อัดแพ็กเกจเยียวยา ‘ซอฟต์โลน-อุดหนุนเงิน-คืนภาษี’