GENIUS Act 2025: กฎหมายคริปโตที่เปลี่ยนเกมการชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์
- GENIUS Act คืออะไร?
- เหตุผลสำคัญที่ต้องมี GENIUS Act
- ข้อกำหนดสำคัญใน GENIUS Act
- ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสเตเบิลคอยน์
- ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
- อนาคตของสเตเบิลคอยน์หลัง GENIUS Act
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ GENIUS Act
GENIUS Act ได้กลายเป็นกฎหมายสำคัญที่กำหนดกรอบการกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ในสหรัฐอเมริกา โดยผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาภาผู้แทนราราษฎรและวุฒิสภา กฎหมายนี้มุ่งสร้างความชัดเจนทางกฎหมาย ปกป้องผู้บริโภค และส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน ผ่านการกำหนดมาตรฐานการออกสเตเบิลคอยน์แบบใหม่ ที่เน้นการสำรองทรัพย์สินคุณภาพสูง 1:1 และให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้ถือสเตเบิลคอยน์ในกรณีล้มละลาย
GENIUS Act คืออะไร?
GENIUS Act หรือชื่อเต็มว่า Guiding and Establishing National Innovation for U.S. Stablecoins Act เป็นกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างกรอบกฎหมายสำหรับสเตเบิลคอยน์ประเภท "การชำระเงิน" ในสหรัฐอเมริกา กฎหมายนี้กำหนดให้สเตเบิลคอยน์ต้องได้รับการสนับสนุนจากสินทรัพย์สำรองคุณภาพสูง เช่น เงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาล และออกโดยสถาบันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
กฎหมาย GENIUS Act เกิดขึ้นจากความต้องการสร้างความมั่นคงในระบบการเงินดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสเตเบิลคอยน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กฎหมายนี้กำหนดให้สเตเบิลคอยน์ต้องมีสินทรัพย์สำรองในอัตราส่วน 1:1 พร้อมทั้งกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
หนึ่งในจุดเด่นของ GENIUS Act คือการสร้างความชัดเจนทางกฎหมายสำหรับทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้สเตเบิลคอยน์ โดยแบ่งผู้ให้บริการออกเป็น 3 ประเภทหลัก:
สำหรับผู้ให้บริการที่มีมูลค่าตลาดเกิน 10 พันล้านดอลลาร์ จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลางภายใน 360 วัน
นอกจากนี้ GENIUS Act ยังกำหนดให้ผู้ให้บริการต้อง:
- เปิดเผยนโยบายการแลกคืนสเตเบิลคอยน์
- จัดทำรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับสินทรัพย์สำรอง
- ปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงินและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย
การบังคับใช้ GENIUS Act คาดว่าจะส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดสเตเบิลคอยน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มความน่าเชื่อถือของสเตเบิลคอยน์ที่ออกในสหรัฐอเมริกา และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาดที่มีผู้เล่นขนาดเล็กบางรายอาจต้องออกจากตลาดเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดได้
ข้อมูลจาก Coinmarketcap ชี้ให้เห็นว่าว่าตลาดสเตเบิลคอยน์มีมูลค่ารวมกว่า 150 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ก่อนการบังคับใช้ GENIUS Act ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของกฎหมายนี้ต่อระบบการเงินดิจิทัล
เหตุผลสำคัญที่ต้องมี GENIUS Act
การเกิดขึ้นของ GENIUS Act มาจากความกังวลหลัก 3 ประการที่สำคัญต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจดิจิทัล:
1. ความมั่นคงทางการเงิน: เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถอนเงินจำนวนมากที่อาจเกิดขึ้นหากสเตเบิลคอยน์ไม่มีสินทรัพย์สำรองเพียงพอ โดยกฎหมายกำหนดให้สเตเบิลคอยน์ต้องมีสินทรัพย์สำรองคุณภาพสูงในอัตรา 1:1 ซึ่งรวมถึงเงินสด, เงินฝากธนาคาร, พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น และสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติ นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลสำรองทรัพย์สินทุกเดือน และมีนโยบายการไถ่ถอนที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการขายทรัพย์สินอย่างรวดเร็วที่อาจสร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงิน
2. ความเท่าเทียมข้ามพรมแดน: กำหนดให้ผู้ให้บริการต่างชาติต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเดียวกับผู้ให้บริการในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านการป้องกันการฟอกเงินและการระงับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย กฎหมายนี้ปิดช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ให้บริการสหรัฐฯ เสียเปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ให้บริการต่างชาติสามารถเข้าเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย Bank Secrecy Act (BSA) และกฎระเบียบการคว่ำบาตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
3. ความชัดเจนทางกฎหมาย: สร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้าง โดยเฉพาะการเสริมสร้างบทบาทของดอลลาร์สหรัฐฯ ในระบบการเงินโลก GENIUS Act กำหนดเส้นทางที่ชัดเจนสำหรับผู้ให้บริการทั้งในระดับรัฐและระดับสหพันธรัฐ พร้อมทั้งยอมรับโมเดลการกำกับดูแลของรัฐบางแห่งที่ได้มาตรฐาน เช่น กรอบการกำกับดูแลของ NYDFS (New York Department of Financial Services) ที่มีชื่อเสียงในด้านความเข้มงวด
ข้อมูลเพิ่มเติมจากทีมวิเคราะห์ BTCC ชี้ให้เห็นว่า GENIUS Act ยังตอบโจทย์ความต้องการของตลาดด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้และนักลงทุน โดยเฉพาะในแง่ของการคุ้มครองผู้บริโภคและการจัดลำดับความสำคัญในการชำระบัญชีกรณีผู้ให้บริการล้มละลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้สเตเบิลคอยน์กลายเป็นเครื่องมือการชำระเงินที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
ข้อกำหนดสำคัญใน GENIUS Act
กฎหมาย GENIUS Act ซึ่งผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสสหรัฐฯ และได้รับการลงนามโดยประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025 ได้กำหนดกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนสำหรับการออกสเตเบิลคอยน์ในสหรัฐอเมริกา โดยมีข้อกำหนดหลักที่สำคัญดังนี้:
1. ข้อกำหนดการสำรองสินทรัพย์
- ผู้ออกสเตเบิลคอยน์ต้องสำรองสินทรัพย์คุณภาพสูงในอัตราส่วน 1:1 สำหรับสเตเบิลคอยน์ทั้งหมดที่ออก
- สินทรัพย์สำรองที่อนุญาต ได้แก่ เงินสดดอลลาร์สหรัฐ เงินฝากในสถาบันการเงินที่มีการประกัน ตราสารหนี้ระยะสั้นของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (Treasuries) และข้อตกลงซื้อคืน (repo) ระยะสั้น
- ห้ามนำสินทรัพย์สำรองไปใช้เป็นหลักประกันหรือนำไปใช้ประโยชน์อื่นใด
2. ข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูล
- ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์สำรองทุกเดือนผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
- ต้องมีนโยบายการแลกคืนที่ชัดเจนและเปิดเผยต่อสาธารณะ
- ผู้บริหารระดับสูง (CEO และ CFO) ต้องรับรองรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับสินทรัพย์สำรองด้วยตนเอง
- ต้องจ้างผู้สอบบัญชีอิสระเพื่อตรวจสอบรายงานดังกล่าว
3. ข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
- ต้องปฏิบัติตามกฎหมายต่อต้านการฟอกเงิน (AML) และมาตรการคว่ำบาตรอย่างเคร่งครัด
- สำหรับผู้ออกต่างชาติ ต้องลงทะเบียนกับ OCC และยินยอมให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสหรัฐฯ
- ต้องมีระบบเทคโนโลยีที่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของทางการสหรัฐฯ ได้
4. ข้อจำกัดอื่นๆ
- ห้ามเสนอผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยให้กับผู้ถือสเตเบิลคอยน์
- ห้ามแสดงว่าว่าสเตเบิลคอยน์ได้รับการคุ้มครองโดยการประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (FDIC)
- ห้ามบังคับให้ลูกค้าต้องใช้บริการอื่นๆ ของผู้ออกเป็นเงื่อนไขในการใช้สเตเบิลคอยน์
5. การคุ้มครองผู้ถือสเตเบิลคอยน์
- ในกรณีที่ผู้ออกล้มละลาย ผู้ถือสเตเบิลคอยน์จะได้รับสิทธิ์เรียกร้องสินทรัพย์สำรองก่อนเจ้าเจ้าเจ้าหนี้รายอื่น
- ต้องมีระบบการเก็บรักษาสินทรัพย์สำรองที่ปลอดภัยและแยกจากสินทรัพย์อื่น
ข้อมูลจาก Coinmarketcap ระบุว่าว่าตลาดสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 โดย USD Tether (USDT) และ USD Coin (USDC) เป็นสเตเบิลคอยน์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดบนแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึง BTCC
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสเตเบิลคอยน์
GENIUS Act จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมสเตเบิลคอยน์ของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอย่างสิ้นเชิง โดยมีผลกระทบสำคัญดังนี้:
1. การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม
- ผู้ให้บริการขนาดเล็กที่ไม่สามารถปรับตัวตามข้อกำหนดกฎหมายใหม่อาจต้องออกจากตลาดหรือถูกควบรวมกิจการ
- สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเช่นธนาคารจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการออกสเตเบิลคอยน์
- มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมจะเกิดการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30-40% ในปีแรกหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้
2. การแข่งขันที่เปลี่ยนไป
- ผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรองจาก NYDFS (New York Department of Financial Services) จะได้เปรียบในการแข่งขันเนื่องจากกฎระเบียบของนิวยอร์กสอดคล้องกับ GENIUS Act อยู่แล้ว
- บริษัทที่เกินมูลค่าค่าค่าตลาด 10,000 ล้านดอลลาร์จะต้องเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลางภายใน 360 วัน
- ผู้ให้บริการจากต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกันกับบริษัทสหรัฐฯ จึงจะสามารถดำเนินการในตลาดสหรัฐฯได้
3. ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
- ผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองมากขึ้นจากการกำหนดให้สเตเบิลคอยน์ต้องมีสินทรัพย์สำรอง 1:1
- มีการเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์สำรองทุกเดือนเพื่อความโปร่งใส
- ผู้ถือสเตเบิลคอยน์จะได้รับสิทธิ์ก่อนในกรณีที่บริษัทผู้ออกล้มละลาย
4. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
- บริษัทต่างๆ จะต้องลงทุนปรับปรุงระบบเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่
- มีการคาดการณ์ว่าการใช้สเตเบิลคอยน์ในการชำระเงินข้ามพรมแดนจะเพิ่มขึ้น 50-60% ภายใน 2 ปี
ข้อมูลอ้างอิง: Coinmarketcap, TradingView, ข้อมูลจาก BTCC Exchange
ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
คริสเตียน คาตาลินี ผู้ก่อตั้ง MIT Cryptoeconomics Lab ให้ความเห็นว่า "กฎหมาย GENIUS Act นี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมสเตเบิลคอยน์ โดยจะเปิดทางให้ผู้ให้บริการจำนวนมากเข้ามาในตลาด ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น และจะนำไปสู่การแข่งขันและนวัตกรรมในการชำระเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการชำระเงินข้ามพรมแดนที่สเตเบิลคอยน์สามารถลดค่าค่าค่า่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ"
ทางด้านวุฒิสมามาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า "กฎหมายนี้ยังมีข้อบกพร่องในการปกป้องผู้บริโภคและตรวจสอบการซื้อขายสเตเบิลคอยน์ที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากธุรกิจสเตเบิลคอยน์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์"
จากข้อมูลของ CoinMarketCap แสดงให้เห็นว่าว่าตลาดสเตเบิลคอยน์มีมูลค่าค่ากว่า 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากการบังคับใช้กฎหมาย GENIUS Act ซึ่งจะสร้างความชัดเจนด้านกฎระเบียบให้กับอุตสาหกรรม
ทีมวิเคราะห์ของ BTCC ระบุว่า "กฎหมายนี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดครั้งสำคัญ โดยผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรองจาก NYDFS จะได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากมีมาตรฐานการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายใหม่นี้อยู่แล้ว"
นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ให้บริการสเตเบิลคอยน์ต้องมีสินทรัพย์สำรองคุณภาพสูงในอัตราส่วน 1:1 พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสทุกเดือน ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานและส่งเสริมการเติบโตของตลาดในระยะยาว
อนาคตของสเตเบิลคอยน์หลัง GENIUS Act
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ GENIUS Act ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้สเตเบิลคอยน์กลายเป็นเครื่องมือการชำระเงินกระแสหลัก ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า:
- สเตเบิลคอยน์จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการชำระเงินข้ามพรมแดน
- ธุรกิจต่างๆ จะเริ่มนำสเตเบิลคอยน์มาใช้ในระบบลoyalty และการชำระเงิน
- ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจากการสำรองทรัพย์สินของสเตเบิลคอยน์
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ GENIUS Act
GENIUS Act มีผลบังคับใช้เมื่อไร?
GENIUS Act จะมีผลบังคับใช้ภายใน 18 เดือนหลังจากผ่านกฎหมาย หรือ 120 วันหลังจากออกกฎหมายลูกแล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นก่อน
ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์อะไรจาก GENIUS Act?
ผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองมากขึ้นจากการที่สเตเบิลคอยน์ต้องมีสินทรัพย์สำรอง 1:1 และมีสิทธิ์ได้รับเงินคืนก่อนเจ้าเจ้าหนี้อื่นในกรณีที่ผู้ให้บริการล้มละลาย
สเตเบิลคอยน์ต่างประเทศจะสามารถใช้งานในสหรัฐฯได้หรือไม่?
สเตเบิลคอยน์จากผู้ให้บริการต่างชาติสามารถใช้งานในสหรัฐฯได้เฉพาะกรณีที่ผู้ให้บริการนั้นอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่เทียบเท่ากับ GENIUS Act และลงทะเบียนกับ OCC แล้วเท่านั้น
GENIUS Act เกี่ยวข้องกับ CLARITY Act อย่างไร?
GENIUS Act มุ่งเน้นไปที่การออกสเตเบิลคอยน์เป็นหลัก ในขณะที่ CLARITY Act ซึ่งผ่านสภาภาผู้แทนราราษฎรพร้อมกัน เกี่ยวข้องกับโครงสร้างตลาดสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยทั่วไป